วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กินอาหารต้านอาการแสบร้อนกลางอก(กรดไหลย้อน)

หลายคนมีอาการแสบร้อนกลางอก หรือ Heart burn ซึ่งคุณหมอส่วนใหญ่บอกว่าเป็นกรดไหลย้อน โดยมักมีสาเหตุจากการกินผิดปกติ

ผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะรู้สึกร้อนบริเวณหน้าอกหรือลำคอ เนื่องจากเกิดกรดในกระเพาะอาหารมาก ทำให้ปวดท้องแบบปวดแสบปวดร้อน จนลุกลามมาถึงหน้าอกและลำคอ

เนื่องจากสาเหตุหลักคือการกินอาหารที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการ การปรับอาหารจึงเป็นวิธีแก้ที่ตรงจุด
  • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อาทิ ถั่วเมล็ดแบน มันฝรั่ง ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดขาว

  • การกินอาหารกลุ่มนี้เป็นประจำ ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนที่หน้าอก เพราะอาหารกลุ่มนี้เป็นของอ่อนที่กระเพาะย่อยง่าย
  • ใยอาหาร อาทิ ยอดแค ถั่วเมล็ดแห้ง ผักต่าง ๆ เป็นอาหารที่ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง จึงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนที่หน้าอกได้ ทั้งยังช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้

  • ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้น แนะนำให้รับประทานอาหารสุขภาพเต็มสูตรอย่างอาหารชีวจิต ที่หลายคนกินแล้วบอกต่อ ๆ กันมาว่า ต้านกรดไหลย้อนได้ชะงัด และอย่าลืมออกกำลังกายด้วยนะค่ะ

    มาเปลี่ยนอาหารกันดีกว่าค่ะ

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

4 วิธีหัวเราะกับตัวเอง เพิ่มสุขภาพจิตที่ดี เพื่อสุขภาพกายที่ดี

วิธีหนึ่งของการมีสุขภาพจิตดี คือ การมองโลกในแง่ดี เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามักมีทั้งเรื่องดีและร้ายคละเคล้ากัน จึงควรหาวิธีมองเรื่องร้ายด้วยความคิดบวก โดยเริ่มที่การหัวเราะกับตัวเอง ซึ่งมีวิธีดังนี้

1. มองเรื่องร้ายในทางตรงกันข้าม เช่น เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้น เราจึงเรียนรู้บางสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เรียนรู้
2. คิดถึงเรื่องร้ายด้วยอารมณ์ยั่วเย้ย เช่น เพราะความเซ่อซ่าหรืองี่เง่าของตัวเอง เรื่องนี้จริงเกิดขึ้น (ทั้งที่ความจริงเราไม่ได้เป็นคนเซ่อซ่าหรืองี่เง่าเลย)
3. ลองคิดว่าถ้าเราเป็นผู้ดูและเห็นเหตุการณ์นี้บนเวทีละครหรือในโทรทัศน์เราจะยิ้มได้ทันที
4. อย่ากล่าวโทษผู้อื่น เพราะมีมีใครในโลกต้องการให้เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน เมื่อทำได้ เราจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี เพิ่มพลังสุขภาพจิต เพื่อสุขภาพกายที่ดี

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาการปวดประจำเดือน

โดยทั่วไปเกิดขึ้นเนื่องจากผนังมดลูกมีการสร้างสารชนิดที่เรียกว่า โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) หลั่งออกมามากขึ้น หรือมีความไวต่อสารตัวนี้เพิ่มขึ้น ทำให้มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและมดลูกหดตัวแรงขึ้น อันเป็นสาเหตุของอาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้ยังทำให้เส้นเลือดหดตัวในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อีก เช่น ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเดิน ร่วมกับอาการปวดประจำเดือน

อาการปวดประจำเดือนจะรุนแรงในวันแรกของการมีประจำเดือน แล้วค่อย ๆ ลดลง แต่ก็มีสตรีบางคนอาจจะมีอาการปวดตลอดระยะเวลาของการมีประจำเดือน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดได้โดยการวางถุงน้ำร้อนบริเวณหน้าท้องหรือพักผ่อน ให้เพียงพอ หากปวดมากให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสารที่เป็นสาเหตุสำคัญของการปวดประจำเดือน ได้แก่ กลุ่มยาต้านอักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ ส่วนในตำรับยาแผนโบราณให้รับประทานตังกุย หรือใช้ดอกคำฝอยชงดื่มเป็นยาบำรุง โลหิตประจำเดือนและบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้

นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว การนวดท้องเบาๆ การประคบน้ำอุ่น การออกกำลังกาย หรือการยืดเส้นยืดสายก็อาจช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และสำหรับสตรีบางคน การอดนอน ความเครียด และการดื่มกาแฟอาจทำให้อาการปวดรุนแรง ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้

นอกเหนือจากการปฏิบัติตัวที่กล่าวมาแล้ว ยังควรคำนึงถึงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ บางประการ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นในระหว่างที่มีรอบเดือน นั่นคือ ควรพิถีพิถัน กับการทำความสะอาดร่างกายให้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณ "จุดซ่อนเร้น" ขณะเดียวกันก็ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายในขณะที่มีประจำเดือน คือ ไม่ใส่เสื้อผ้าที่หลวมหรือคับจนเกินไป เลือกรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ งดดื่มน้ำเย็นจัด ๆ ไม่ปล่อยความคิดให้ฟุ้งซ่าน หรือหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องเลวร้าย รวมไปถึงไม่ควรทุ่มตัวหักโหมกับงานจนเกินไป พยายามทำใจให้สบาย ทำอารมณ์ให้สดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

ควรปรึกษาสูติ-นรีแพทย์เพื่อรับการตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นและรับ การรักษาที่ถูกต้อง

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หลักปฏิบัติ 9 ประการเพื่อถนอมกระดูกสันหลังของคุณ

1. ห้ามนอนดูทีวี
2. ห้ามนั่งกับพื้นนาน ๆ
3. ห้ามนั่งบนโซฟาที่นุ่มเกินไป (ให้นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงแทน)
4. ห้ามนั่งหลังค่อม
5. ห้ามนั่งกถ้มหน้าทำงานต่อเนื่องเกินครึ่งชั่วโมง (ให้พักเงยหน้าหรือยืดกล้ามเนื้อบ้าง)
6. ห้ามนั่งไขว่ห้าง หรือนั่งเอนตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง
7. ห้ามใส่รองเท้าส้นสูง เกิน 1 นิ้ว
8. ห้ามก้ม หรือ เอี้ยวตัว ยกของขึ้นจากพื้น (ให้ย่อเข้าลง หลังตรงยกของ)
9. ห้ามนอนบนที่นอนที่นุ่ม หรือแข็งจนเกินไป

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีป้องกันและรักษาอาการร้อนใน

ช่วงนี้อากาศบ้านเราค่อนข้างจะร้อนอบอ้าวมาก ทำให้หลาย ๆ คนมีอาการร้อนใน บางคนร้อนในถึงขนาดเลือดกำเดาไหล หรือว่าปากเป็นแผลกันเลยทีเดียว เราเองก็ไป 1 ในนั้น ต้องมียาแก้ร้อนใน และยาทาแผลในปากติดบ้านไว้ตลอดเวลา

วิธีป้องกันอาการร้อนใน
1 พักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามนอนน้อยเด็ดขาด
2 ดื่มน้ำเยอะ ๆ
3 รักษาความสะอาดในช่องปาก
4 หลีกเลี่ยงการทานของทอด หรือ ทุเรียน ลำใย
5 ระวังอย่าให้ท้องผูก
6 ทานผัก ผลไม้ เยอะ ๆ จะได้ไม่ท้องผูก
7 หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง กระเทียม

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอเราก็จะกินยาเขียวกันไว้ก่อน ก่อนที่ปากจะเป็นแผล แต่ถ้ากันไม่อยู่จริง ๆ ก็จะใช้ยาทาแผลในปาก อันนี้ไม่ค่อยจะชอบทาสักเท่าไหร่ ลืม ๆ ทุกที *-*

ยาที่กินก็จะเป็นยาแผนโบราณ จะมีทั้งแบบเม็ดแล้วก็แบบน้ำ แบบเม็ดก็จะมี 2 อย่าง คือ ยาเขียวตราใบห่อและยาเขียวตราใบโพธ์ ยาเขียวนี่จะช่วยให้ระบายด้วยนะ เพราะบางคนก็เป็นร้อนในเพราะว่าท้องผูกอ่ะ ส่วนยาน้ำก็จะเป็นยาเขากุย ลักษณะก็จะเป็นน้ำใส ๆ มีกลิ่นยาจีนนิด ๆ

ส่วนใครที่ชอบทานทุเรียน หรือว่าลำใย หลังจากทานเสร็จแล้วก็จะต้องดื่มน้ำอุ่นตามเข้าไปล้างปากด้วยนะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การวัด IQ อาหาร

นัก วิจัยชาวอเมริกาจากมหาวิทยาลัย Yale ได้ทำการวัดไอคิวอาหาร โดยการทำสกาล่าที่ค่า 1 - 100 ซึ่งหากมีคะแนนมากเท่าไหร่ก็หมายถึงอาหารนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากตาม คะแนน

อาหารสุดยอดต่อสุขภาพ เช่น บร็อกโคลี่ ส้ม หน่อไม้ฝรั่ง (แต่ละชนิดมีคะแนน 100 คะแนน) เหตุผลก็คือ อาหารดังกล่าวมีวิตามินและกากใยอาหาร และมีแคลอรีต่ำ

อาหารที่ทำร้ายสุขภาพ ก็คือ อาหารที่มีกรดไขมันอิ่ม ตัวสูง มีเกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป เช่น ไอศกรีมแท่ง(1 คะแนน) คุกกี้(2 คะแนน) หรือนมช็อกโกแลต(3 คะแนน)

ที่น่าแปลกใจก็คือ ปลาแซลมอนได้ 87 คะแนน กุ้งก้ามกรามได้ 36 คะแนน เหตุผลก็คือ กุ้งก้ามกรามมีโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ แต่มีเกลือและคอเรสเตอรอลมากกว่า

ส่วนแฮมเบอกเกอร์(25 คะแนน) ได้คะแนนสูงกว่าไข่ดาว(18 คะแนน) เนื่องจากไข่มีคอเรสเตอรอลสูงเกินไป ซึ่งเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

Tips : อาหารชนิดใดได้คะแนนสูงต่ำ
มันฝรั่ง (93 คะแนน) มีสารอาหารสูง เช่น โพแทสเซียม วิตามินบี 6 แมกนีเซียม กากใยอาหาร ให้พลังงาน 68 กิโลแคลอรี มีประโยชน์สำหรับเส้นประสาทและการย่อยอาหาร

นมสด (52 คะแนน) มีสารอาหารสูง เช่น โปรตีน แคลเซียม คอเลสเตอรอล ให้พลังงาน 69 กิโลแคลอรี มีประโยชน์สำหรับกระดูก แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง

ถั่วลิสงอบเกลือ (21 คะแนน) มีวิตามินอีสูง ให้พลังงาน 563 กิโลแคลอรี ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ไอศกรีมแท่ง (1 คะแนน) มีคาร์โบไฮเดรตสูง (มาจากน้ำตาล) ให้พลังงาน 310 กิโลแคลอรี ไม่มีวิตามิน

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยำหัวปลีกุ้งสด

จากที่ได้พูดถึงเรื่องผักที่มีประโยชน์ไปเมื่อวาน ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือหัวปลี ที่มีคุณสมบัติบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ วันนี้ก็เลยจะมาแนะนำวิธีทำให้หัวปลีน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือ ยำหัวปลีกุ้งสดนั่นเอง

ส่วนประกอบในการทำยำหัวปลีกุ้งสด
- หัวปลีซอยลวก 1 หัว
- กุ้งสดลวก 10 ตัว
- หอมแดงซอย 1/2 ถ้วยตวง
- มะพร้าวคั่ว 1/2 ถ้วยตวง
- หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำพริกเผา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
- หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำยำหัวปลีกุ้งสด
1.ปอกกลีบหัวปลีส่วนที่แก่ออก หั่นตามขวางบางๆ แช่ในน้ำส้มผสมน้ำเพื่อหัวปลีจะได้ไม่ดำแล้วบิดน้ำออก ลวกพอสุก พักไว้
2.ผสมน้ำปรุงน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ และหัวกะทิผสมให้เข้ากันใส่หัวปลีที่เตรียมไว้และกุ้งที่ลวกแล้ว หอมแดงซอย คลุกให้เข้ากัน ชิมรสชาติให้ออกหวาน เปรี้ยว เค็ม
3.จัดใส่จาน โรยหน้าด้วยมะพร้าวคั่วและหอมแดงเจียว

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กินผักรักษาโรคกันเถอะ

ปัจจัย สำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิดให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย

ในผักมี อะไร ?
ผักเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้วยังพบได้ในถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น

ใยพืชมี ประโยชน์อย่างไร?
1. ให้พลังงานน้อย
2. ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง
3. ช่วยลดการดูดซึมไขมัน
4. กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น

มากินผัก กันเถอะ
การรับ ประทานผักจำนวนมากๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

เห็ดหอม เป็น เห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่าเห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอมเป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร

งา มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน

ถั่ว ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้

ขี้ เหล็ก ใช้ใบรับ ประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน สรรพคุุณทางยาของใบขี้เหล็กมีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาททำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย

ตำลึง เป็น ไม้ เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย

มะระ เป็น ผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัดตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)

ผักกาด มี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอมสามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผักจะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค

มะเขือ ยาว
มะเขือ มีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคลักปิดลักเปิด

ปวยเล้ง
เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่ามีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้งถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานอีกด้วย

แค
รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้

หัว ปลี
เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้